หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายมีรายงานพบว่าอันดับประเทศที่นักท่องเที่ยวจีนเสิร์ชหามากที่สุดคือ ประเทศไทย ตามด้วยประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ ภาครัฐหวังกระตุ้นการท่องเที่ยวจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเช่นกัน โดยคาดการณ์ไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 4-5 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท
เป็นตัวเลขคาดการณ์ประมาณแบบประมาณตัว หวังเพียงครึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่แห่มาประเทศไทยมากกว่า 11 ล้านคนก่อนโควิดระบาด สร้างรายได้ภาคการท่องเที่ยวหลักล้านล้านบาท
แต่แล้วก็ไม่ถึงฝั่งฝัน เข้าเดือนสุดท้ายของปีกลับพบว่า ตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนมายังประเทศไทยเพียง 3 ล้านคนเท่านั้น กลุ่มไกด์ไทยผู้ดูแลนักท่องเที่ยวต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “ซบเซา” กว่าที่คาดหวังไว้ ทั้งยอดจองช่วง Golden Week ที่เคยฟู่ฟ่ากลับลดลงอย่างมาก
เกิดอะไรขึ้นกับนักท่องเที่ยวจีน!?
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าเหตุเพราะสภาวะเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาหลังกระทบหนักจากโรคระบาด ทั้งจีนเองก็ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ส่งผลไปถึงมาตรการในการออกพาสปอร์ตที่เคร่งครัดมากขึ้น
แต่อีกสาเหตุที่อาจมีส่วนสำคัญคือความกังวลด้าน “ความปลอดภัย” ผู้สื่อข่าวหลายสำนักรายงานว่า ในช่วงสองปีหลังมานี้ กระแสในโซเชียลมีเดียจีนมีการวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยในเชิงลบอย่างมาก หลังรับชมภาพยนตร์จีน No More Bets เนื้อหาสื่อถึงการค้ามนุษย์ การค้าอวัยวะในตลาดมืดและแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งจับคนรวยเรียกค่าไถ่ มีบางฉากที่มีภาษาไทยออกเผยแพร่สร้างภาพลักษณ์เชิงลบ จนทางการฑูตไทยมีความกังวลต้องเข้าเจรจา
เคราะห์ซ้ำเมื่อเกิดเหตุการณ์เด็กวัย 14 กราดยิงกลางเมือง เป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวจีนชาวจีนเสียชีวิต ตอกย้ำความกังวลเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนอย่างไร้ข้อแก้ตัว แม้รัฐบาลจะประกาศฟรีวีซ่าเปิดทางมาก่อนหน้าก็ไม่เป็นผล
จีนเบนเข็มทิศจุดหมายใหม่
สำนักข่าวรายงานว่า นักท่องเที่ยวจีนทั่วโลกหายไปมากถึง 70% ในช่วงครึ่งปีแรก 2566 ชาวจีนเดินทางไปต่างประเทศราว 40 ล้านคน แต่เปอร์เซ็นต์ที่เดินทางมาประเทศไทยนั้้น มีจำนวนไม่ถึง 4% สอดคล้องกับจำนวนสถิติการท่องเที่ยวของไทย คือคิดเป็นราว 3 ล้านคน
ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีน 40 ล้านคน 50% เลือกเดินทางไปมาเก๊า และเลือกเดินทางไปฮ่องกงอีกราว 27%
นับเป็นเศษส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทยที่เล็กน้อยมาก หากเปรียบเทียบกับฮ่องกงและมาเก๊า แต่กลับเป็นยอดเชื้อชาตินักท่องเที่ยวที่สูงที่สุดของประเทศไทย ที่ระบุว่า นักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย เป็นชาวจีนอันดับ 1 รองลงมาคือชาวญี่ปุ่น
มองวิธีแก้เกมหลังทัวร์จีนเปลี่ยนไป
“Ctrip” แอพพลิเคชั่นท่องเที่ยวอันดับ 1 ของจีนรายงานว่า ยอดจองการเดินทางของไทยลดลงถึงร้อยละ 40 แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจีนเตรียมจองตั๋วเดินทางตลอดเดือนตุลาคม 2566 จนถึงมีนาคม 2567 ประมาณ 1.6 หมื่นเที่ยวบิน หรือราว 3.5 ล้านที่นั่ง โดยช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางคือ ตรุษจีน วันแรงงาน วันชาติจีน และช่วงปิดเรียนภาคฤดูร้อน ขณะที่ภาครัฐเตรียมแผนดึงนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาในปีที่ใกล้มาถึง
อย่างไรก็ตาม รายงานจากสื่อหลายแห่งพบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองและพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวจีน ที่ชวนให้ภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและคนไทยได้คิดตาม เช่น
- นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่ลดลงมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มย่อยเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพมากขึ้น
- นักท่องเที่ยวจีนสูงอายุ ยังคงเป็นกลุ่มมีกำลังจ่ายและรายได้สูง พวกเขาต้องการความมั่นใจด้านความปลอดภัยเป็นหลัก
- นักท่องเที่ยวจีน LGBTQ+ มองว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ พวกเขาสบายใจที่ได้เดินทางมายังประเทศไทย
- นักท่องเที่ยวจีน ยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่พิเศษและต้องการความหลากหลาย
- นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมสร้างคอนเทนต์ พวกเขาต้องการท่องเที่ยวที่ตรงกับความชอบเฉพาะตัว มองหาแหล่งอันซีน หรือมีแอคทีวิตี้เฉพาะความสนใจ เริ่มมองหาที่ใหม่ ๆ เพื่อเปิดกระแสในโซเชี่ยลมีเดีย
นักวิชาการและหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวต่างเห็นพ้องว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของนักท่องที่ยวจีนเปลี่ยนไป จากที่เคยชอบความเป็นไทย นิยมเอกลักษณ์สินค้าและบริการแบบ Made in Thailand หันมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิมเป็นหลัก
ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับบทเรียนจากทัวร์ศูนย์เหรียญและผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ล้นทะลักรับมือไม่ทันมาแล้ว ช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเช่นนี้จึงเป็นโอกาสดีที่การท่องเที่ยวไทยจะปรับปรุงการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง สร้างมูลค่าการท่องเที่ยวใหม่ เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง และพัฒนาการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วย
คนทำธุรกิจท่องเที่ยว ใครมองเห็นโอกาสนี้ก่อน ปรับตัวก่อน มีโอกาสก่อน
ในอนาคตไม่เพียงนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา แต่นักท่องเที่ยวทุกชนชาติอาจหลงรักประเทศไทยจนต้องปักหมุดหมายไว้ในใจมากกว่าเดิม
ดูเนื้อหาต้นฉบับ
ที่มา : https://www.sanook.com/travel/1444307/
ขอขอบคุณ : https://www.sanook.com/travel/1444307/